Call Center 02 821 0039   

    Call Center 02 821 0039   

  Call Center 02 821 0039   

อายุการใช้งานของ “แบตเตอรี่” กี่ปีกันแน่

●  Able   •

25/02/2025

อายุการใช้งานของ “แบตเตอรี่” กี่ปีกันแน่

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้ขับขี่ควรใส่ใจและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพราะแบตเตอรี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยนต์สามารถสตาร์ทและทำงานได้ตามปกติ การที่แบตเตอรี่หมดหรือเสื่อมสภาพอาจทำให้รถไม่สามารถเริ่มทำงานได้ และส่งผลต่อระบบไฟฟ้าอื่นๆ ของรถอีกด้วย

โดยทั่วไป อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ อยู่ที่ประมาณ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของแบตเตอรี่, สภาพการขับขี่, และสภาพอากาศที่รถใช้งานในแต่ละพื้นที่

  1. สภาพอากาศ
    • หากคุณได้ยินเสียง “ร้อง” หรือ “เสียดสี” จากบริเวณล้อหรือเบรกในขณะเหยียบเบรก อาจเป็นสัญญาณว่า ผ้าเบรกหมด หรือ แผ่นเบรก เสื่อมสภาพจนกระทบกับโลหะของจานเบรก
    • บางครั้งจะมีเสียงโลหะกระทบกันซึ่งจะทำให้ระบบเบรกไม่ทำงานได้ดีเหมือนเดิม
  2. การขับขี่
    • การขับขี่ในเมืองที่มีการหยุดจอดบ่อยๆ หรือ การขับขี่สั้น จะทำให้แบตเตอรี่ไม่ได้รับการชาร์จเต็มที่จากระบบชาร์จ (Alternator) ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
    • การขับขี่ในระยะทางยาวหรือการขับรถทางไกลมักช่วยให้แบตเตอรี่ได้ชาร์จเต็มที่มากขึ้น
  3. ประเภทของแบตเตอรี่
    • แบตเตอรี่แบบแห้ง (AGM, EFB) แบตเตอรี่แบบนี้จะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ เนื่องจากไม่ต้องการการบำรุงรักษามาก
    • แบตเตอรี่แบบน้ำ (Flooded Battery) แบตเตอรี่ประเภทนี้ต้องการการเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอและอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าแบตเตอรี่แห้ง
  4. การบำรุงรักษา
    • การตรวจสอบและ ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ เป็นประจำจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
    • หากขั้วแบตเตอรี่มี คราบเกลือหรือการกัดกร่อน ควรทำการทำความสะอาดทันที เพราะอาจส่งผลให้การชาร์จไม่เต็มที่
  5. การใช้งานที่หนักเกินไป
    • หากรถยนต์มีการใช้งานหนัก เช่น การเปิดเครื่องเสียง, แอร์, หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่มากเกินไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น
  6. คุณภาพของแบตเตอรี่นักหน่วง
    • หากคุณขับขี่ในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น หรือมีการขับขี่ในพื้นที่ลาดชันหรือภูเขาบ่อยๆ ผ้าเบรกจะมีการสึกหรอมากกว่าปกติ
    • ในกรณีนี้ ควรตรวจสอบผ้าเบรกและเปลี่ยนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
  1. รถสตาร์ทไม่ติดหรือช้า
  2. ไฟบนหน้าปัดแสดงสัญญาณผิดปกติ
    • หากไฟเตือนที่แสดงบนหน้าปัดรถยนต์ (เช่น ไฟ “Check Battery” หรือไฟเตือนการชาร์จ) ติดขึ้น หมายความว่าแบตเตอรี่อาจมีปัญหาหรือการชาร์จไม่เต็มที่
  3. ไฟหน้ารถสว่างไม่ปกติ
    • หากไฟหน้ารถหรือไฟอื่นๆ ของรถยนต์สว่างจ้าไปหรือสว่างเบาลงกว่าปกติในขณะขับขี่ อาจเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหา
  4. กลิ่นแปลกๆ
    • หากคุณได้กลิ่นเหม็นจากห้องเครื่องยนต์หรือจากแบตเตอรี่ อาจหมายถึงว่าแบตเตอรี่มีการรั่วหรือร้อนเกินไปและกำลังเสื่อมสภาพ
  5. มีคราบขาวหรือสีเขียวที่ขั้วแบตเตอรี่
    • การสังเกตเห็นคราบขาวหรือสีเขียวที่ขั้วแบตเตอรี่อาจหมายถึงการ กัดกร่อน ที่เกิดจากการรั่วไหลของกรดในแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถทำให้ประสิทธิภาพในการชาร์จลดลง
  1. ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่
    • ควรตรวจสอบแบตเตอรี่และขั้วแบตเตอรี่เป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคราบเกลือหรือการกัดกร่อน
    • ตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น (สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำ) เพื่อให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่มีระดับน้ำที่เหมาะสม
  2. ตรวจสอบการชาร์จ
    • หากพบว่ารถยนต์มีปัญหาในการชาร์จแบตเตอรี่ ควรตรวจสอบระบบการชาร์จ (Alternator) ว่ายังทำงานได้ดีหรือไม่
  3. หลีกเลี่ยงการใช้พลังงานเกินจำเป็น
    • พยายามไม่เปิดเครื่องเสียง, แอร์ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ โดยไม่จำเป็นเมื่อเครื่องยนต์ไม่ทำงาน
  4. ขับรถระยะทางยาวบ้าง
    • การขับรถระยะไกลเป็นการช่วยชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มและเพิ่มอายุการใช้งาน
  5. การบำรุงรักษาที่ศูนย์บริการ
    • ควรให้ช่างที่มีความเชี่ยวชาญตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่เป็นประจำทุกปี

ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อสภาพ จึงควรนำรถออกไปขับอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือเลือกใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์คอยชาร์จไฟให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ให้ยาวนานเสมือนรถที่ถูกนำไปขับเป็นประจำ เพราะการดูแลแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดคือการชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้เต็มอยู่ตลอดเวลา ท่านสามารถ “นัดหมายเข้ารับบริการ” เพื่อตรวจเช็กรถยนต์ของท่านได้ที่ มิตซูบิชิ เอเบิล ทั้ง 7 สาขา พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ ส่วนลดในการเข้ารับบริการจากเรา

ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของมิตซูบิชิ เอเบิล มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ที่

แชร์บทความนี้